วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์

จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์


ประวัต
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๕๑ ที่บ้านท่าโรงยา ตลาดพาหุรัด กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของพันตรี หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) กับนางจันทิพย์ ธนะรัชต์
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เริ่มการศึกษาชั้นต้นที่ จังหวัดมุกดาหาร จากนั้น เข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดมหรรณพาราม และโรงเรียนนายร้อยทหารบก จนสำเร็จการศึกษาเมื่อปี ๒๔๗๒ ได้รับยศร้อยตรีประจำการที่กองพันที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์
ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบูรพาในขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองทัพทหารราบที่ ๓๓ ได้ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๘๘ จึงได้เลื่อนยศเป็นพันเอก ตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑๓ และผู้บังคับการจังหวัดทหารบกลำปาง จนกระทั่งสงครามยุติลง
ปี พ.ศ.๒๔๙๕ ได้เลื่อนยศเป็นพลเอก และในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๙๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก และต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็นจอมพล ทหารบก ทหารอากาศ และทหารเรือ
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ หลังจากการทำรัฐประหารรัฐบาลของจอมพล ถนอม กิตติขจร เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไม่เรียบร้อย
ในช่วงที่บริหารประเทศ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สร้างผลงานทั้งทางด้านการปรับปรุงการบริหารและการพัฒนาประเทศไว้มากมาย ผลงานที่สำคัญๆ ได้แก่ การออกกฎหมายเลิกการเสพ และจำหน่ายฝิ่นโดยเด็ดขาด กฎหมายปราบปรามพวกนักเลง อันธพาล กฎหมาย ปรามการค้าประเวณี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำการศึกษา ค้นคว้า วิจัย จนกระทั่งได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศฉบับที่ ๑ (ปี พ.ศ.๒๕๐๔ - พ.ศ.๒๕๐๙) ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นแม่แบบของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๐๖ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รวมอายุได้ ๕๕ ปี และเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เสียชีวิตลงในขณะที่ดำรงตำแหน่ง

ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
 
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๙
 
 ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ - ๘ ธันวาคม ๒๕๐๖

 

นายพจน์ สารสิน

นายพจน์ สารสิน


ประวัติ
นายพจน์ สารสิน เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๔๘ ที่บ้านพักถนนสุรศักดิ์ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของพระยาสารสินสวามิภักดิ์ (เทียนฮี้) กับคุณหญิงสุ่น สมรสกับคุณหญิงศิริ สารสิน ศึกษาที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อกลับมาสู่ประเทศไทยเข้าเรียนวิชากฎหมาย จนสอบได้เนติบัณฑิตไทยเมื่อปี ๒๔๗๒ และศึกษาวิชากฎหมายในประเทศอังกฤษ
นายพจน์ สารสิน เริ่มบทบาททางการเมืองด้วยการสนับสนุนของ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม โดยการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ และเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี พ.ศ.๒๔๙๑ และต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๒ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่ภายหลัง ได้ลาออกเนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาลเกี่ยวกับการรับรองรัฐบาลเบาได๋ แห่งเวียดนามใต้
ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๙๕ - พ.ศ.๒๕๐๐ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาและทำหน้าที่ผู้แทนของประเทศไทยประจำองค์การสหประชาชาติ และในเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๐ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันรวมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ.)
นายพจน์ สารสิน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๐ หลังจากการทำรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภารกิจสำคัญของรัฐบาลคือจะต้องเร่งจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้บริสุทธิ์และยุติธรรมอันเป็นสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง และเป็นเหตุผลที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจจากรัฐบาลชุดเก่า
หลังจากที่ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายพจน์ สารสิน ก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกลับไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ส.ป.อ. ตามเดิม หลังชีวิตราชการ คนพำนักอยู่ที่บ้านพักในกรุงเทพมหานคร และยุติบทบาททางการเมืองโดยสิ้นเชิงจนถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๓ รวมอายุได้ ๙๕ ปีเศษ
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ ๑ คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๗ : ๒๑ กันยายน ๒๕๐๐ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๐

พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์


ประวัติ
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๔๔ เวลา ๐๔.๐๐ น. ที่ตำบลหัวรอ อำเภอรอบกรุง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายอู๋ กับนางเงิน ธารีสวัสดิ์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายเรือ กรุงเทพ และได้ศึกษาวิชากฎหมายจนสำเร็จได้เป็นเนติบัณฑิตไทย ในขณะที่รับราชการอยู่ในกองทัพเรือ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และราชทินนามเป็นหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ และได้เริ่มบทบาททางการเมืองโดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนประเภท ๒ และได้เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรี ครั้งแรกในสมัยรัฐบาลของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อปี ๒๔๗๖ จนกระทั่งในปี ๒๔๗๙ - ๒๔๘๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในสมัยรัฐบาลของ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก นายปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๔๘๙ ในช่วงที่เข้ารับตำแหน่งนั้น ประเทศอยู่ในภาวะหลังสงคราม เศรษฐกิจของประเทศกำลังทรุดหนัก พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้แก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจด้วยการจัดตั้ง "องค์การสรรพาหาร" ขึ้น โดยการซื้อของแพงมาขายถูกให้แก่ประชาชนเพื่อตรึงราคาสินค้าไม่ให้สูง และเรียกเก็บธนบัตรที่ฝ่ายสัมพันธมิตรนำเข้ามาใช้จ่ายจากประชาชน ด้วยการออกธนบัตรใหม่ให้แลกรวมทั้งนำเอาทองคำซึ่งเป็นทุนสำรองของชาติออกขายแก่ประชาชน
เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เกิดการรัฐประหารโดยการนำของจอมพล ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก กาจ กาจสงคราม ทำให้คนต้องเดินทางออกนอกประเทศไปลี้ภัยอยู่ที่ฮ่องกงระยะหนึ่ง แล้วจึงกลับประเทศไทยและใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบต่อมา พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๑ ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รวมอายุได้ ๘๗ ปี
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
 สมัยที่ ๑
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๗  : ๒๓ สิงหาคม ๒๔๘๙ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๐
 สมัยที่ ๒
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๘ : ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๐ - ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ 
 


 

ปรีดี พนมยงค์

ปรีดี พนมยงค์

ประวัติ
นายปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๔๓ ที่ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายเสียง กับ นางลูกจันทร์ พนมยงค์ สมรสกับคนผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
เริ่มการศึกษาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม เมื่ออายุเพียง ๑๙ ปี
ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ ได้รับทุนไปศึกษาต่อวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส โดยศึกษาภาษาฝรั่งเศสและความรู้ทั่วไปที่ วิทยาลัยกอง (Lycee Caen) และศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยกอง (Caen) ได้รับปริญญาทางกฎหมายและได้ " ลิซองซิเอ ทางกฎหมาย" จากนั้นศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส ได้ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย (Docteur en Droit) ฝ่ายเนติศาสตร์ และประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปารีส
ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รับเลือกเป็นสภานายกแห่งสมาคมนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย นายปรีดี พนมยงค์ ได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ แล้วย้ายไปเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมายและเป็นอาจารย์สอนกฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย จนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นอำมาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๒
นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญในการก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวในครั้งนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นเสนอรัฐบาล แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องเดินทางออกนอกประเทศ ภายหลังเมื่อพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการในคณะหนึ่งเพื่อสอบสวนว่านายปรีดี พนมยงค์ เป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ ผลการสอบสวนปรากฎว่า นายปรีดี พนมยงค์ ไม่มีมลทิน และนายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
ในด้านการศึกษา นายปรีดี พนมยงค์ ได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นคนแรก
ในขณะที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ นายปรีดี พนมยงค์ ถูกกันให้พ้นจากตำแหน่งทางการเมือง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังดำเนินอยู่ นายปรีดี พนมยงค์ ได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ติดต่อประสานงานกับขบวนการเสรีไทยภายนอกประเทศ ภายใต้การนำของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับๆ จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโสและร่วมกับรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ดำเนินการประกาศว่า การที่รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอเมริกาและอังกฤษเป็นโมฆะ และได้หาทางผ่อนคลายสัญญาสมบูรณ์แบบที่ผูกมัดไทย เนื่องจากผลของการแพ้สงคราม
นายปรีดี พนมยงค์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๗ ของไทย เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๙ เนื่องจากรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ได้ลาออก ในช่วงที่นายปรีดี พนมยงค์ บริหารประเทศอยู่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือ ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ได้เกิดกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วยพระแสงปืน รัฐบาลถูกโจมตีอย่างหนักโดยถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลพยายามปิดบังและอำพรางความจริงในกรณีสวรรคต รวมทั้งไม่สามารถหาข้อเท็จจริงในการสวรรคตมาแจ้งให้ประชาชนทราบได้ ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ จึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๔๘๙
ต่อมาเมื่อนายทหารบกทั้งใน และนอกราชการได้ก่อการรัฐประหารรัฐบาลของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ นายปรีดี พนมยงค์ ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปพำนักอยู่ที่มาเลเซียและได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเวลาหลายปี ต่อจากนั้นได้ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบเงียบที่ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจวายที่บ้านพักชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖ รวมอายุได้ ๘๓ ปี
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
 สมัยที่ ๑
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๕ : ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๙ - ๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙
 สมัยที่ ๒
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๖ : ๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙ - ๒๑ สิงหาคม ๒๔๘๙ 
 


ทวี บุณยเกตุ

ทวี บุณยเกตุ

ประวัติ
นายทวี บุณยเกตุ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๗ เวลา ๑๓.๒๐ น. ที่จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพระยารณชัยชาญยุทธ์ (ถนอม บุณยเกตุ) กับคุณหญิงรณชัยชาญยุทธ์ (ทับทิม) สมรสกับคุณหญิงอำภาศรี บุณยเกตุ
เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และโรงเรียนราชวิทยาลัย ตามลำดับ จากนั้นไปศึกษาต่อที่ คิงส์คอลเลจ ประเทศอังกฤษ และไปศึกษาต่อในด้านวิชากสิกรรม ที่มหาวิทยาลัยกรีนยอง ประเทศฝรั่งเศส
หลังจากสำเร็จการศึกษา นายทวี บุณยเกตุ ได้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการบำรุงพันธุ์สัตว์ชั้น ๒ กรมเพาะปลูก กระทรวงเกษตรราธิการ จนกระทั่งวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เข้าร่วมกับคณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยรัฐบาลของพันตรีควง อภัยวงศ์
นายทวี บุณยเกตุ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๔๘๘ หลังจากที่พันตรี ควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคน เป็นการดำรงตำแหน่งเพียงชั่วคราวเพื่อรอการเดินทางกลับของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าขบวนการเสรีไทยสายต่างประเทศที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการเจรจากับฝ่ายพันธมิตร ให้เป็นผลดีแก่ประเทศไทยต่อไประยะเวลาในการบริหารประเทศของคนจึงสิ้นเพียง ๑๗ วัน เคนั้น
ถึงแม้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม คนก็มีภารกิจสำคัญมากมายในช่วงที่การเมืองทั้งภายในภายนอกประเทศกำลังผันผวน ประเทศมหาอำนาจจะยอมรับการประกาศสงครามกับพันธมิตรเป็นโมฆะหรือไม่ ภารกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การต้อนรับคณะนายทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่เดินทางเข้ามาสำรวจความเสียหายในประเทศไทย
เมื่อพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว นายทวี บุณยเกตุ ได้เข้าดำรงตำแหน่งในสภาร่างรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยทำหน้าที่เป็นประธานสภา หลังจากนั้นจึงได้วางมือจากการเมืองตลอดไป คนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ รวมอายุ ๖๗ ปี
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๒
  
 ๓๑ สิงหาคม ๒๔๘๘ - ๑๗ กันยายน ๒๔๘๘
 

พระยาพหลพลพยุหเสนา

พระยาพหลพลพยุหเสนา


ประวัติ
 พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ชื่อเดิมว่า "พจน์ พหลโยธิน" เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๓๐ เวลา ๐๓.๓๐ น. ณ บ้านหน้าวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (ถิ่น พหลโยธิน) กับคุณหญิงจับ สมรสกับคนผู้หญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา 
 เริ่มการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาส (วัดสามปลื้ม) และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลวิทยาลัย จนกระทั่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก ต่อมาเมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกในเมืองโกรสลิสเตอร์ เฟล เด ประเทศ เยอรมันนี ศึกษาอยู่ ๓ ปี ต่อจากนั้นได้เข้าประจำอยู่ในกองทัพบกเยอรมัน สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๔ ในปี พ.ศ.๒๔๕๕ ได้เดินทางไปศึกษาต่อวิชาช่างแสงที่ประเทศเดนมาร์ก เรียนได้ปีเดียวก็ถูกเรียกตัวกลับเนื่องจากเงินทุนการศึกษาไม่เพียงพอ
พระยาพหลพลพยุหเสนาเข้ารับราชการครั้งแรกประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๔ จังหวัดราชบุรี อีกสามปีต่อมาได้เข้าประจำกรมทหารปืนใหญ่ บางซื่อ พระนคร และในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ได้ย้ายไปเป็นผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๙ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในชีวิตราชการนั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงและพระตามลำดับในราชทินนามเดียวกันว่า " สรายุทธสรสิทธิ์" และได้ เลื่อนยศทางทหารมาตามลำดับ กระทั่งได้เป็น พันเอก เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๑
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๗๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์เวร และเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลพลพยุหเสนา มีราชทินนามเดียวกับบิดา
 เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้ร่วมกับคณะราษฏรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการ ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
 พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๗๖ โดยการทำรัฐประหารรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาตลอดระยะเวลาที่บริหารประเทศ ต้องเผชิญปัญหานานัปการ จนต้องลาออกจากตำแหน่งหลายครั้ง และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่ ในที่สุดเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ตัดสินใจยุบสภาและลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ถึงแม้พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาจะวางมือจากตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองแล้ว ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ คนได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ และได้รับยศ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ถึงแก่อสัญกรรมด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๐ รวมอายุได้ ๖๐ ปี 
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
 สมัยที่ ๑
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ : ๒๑ มิถุนายน ๒๔๗๖ - ๑๖ ธันวาคม ๒๔๗๖
 
 สมัยที่ ๒
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕: ๑๖ ธันวาคม ๒๔๗๖ - ๒๒ กันยายน ๒๔๗๗
 
 สมัยที่ ๓
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖: ๒๒ กันยายน ๒๔๗๗ - ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๘๐
 
 สมัยที่ ๔ 
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๗: ๙ สิงหาคม ๒๔๘๐ - ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐
 
 สมัยที่ ๕
 คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๘: ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐ - ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑