วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ประวัต
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๕๑ ที่บ้านท่าโรงยา ตลาดพาหุรัด กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของพันตรี หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) กับนางจันทิพย์ ธนะรัชต์
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เริ่มการศึกษาชั้นต้นที่ จังหวัดมุกดาหาร จากนั้น เข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดมหรรณพาราม และโรงเรียนนายร้อยทหารบก จนสำเร็จการศึกษาเมื่อปี ๒๔๗๒ ได้รับยศร้อยตรีประจำการที่กองพันที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์
ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบูรพาในขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองทัพทหารราบที่ ๓๓ ได้ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๘๘ จึงได้เลื่อนยศเป็นพันเอก ตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑๓ และผู้บังคับการจังหวัดทหารบกลำปาง จนกระทั่งสงครามยุติลง
ปี พ.ศ.๒๔๙๕ ได้เลื่อนยศเป็นพลเอก และในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๙๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก และต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็นจอมพล ทหารบก ทหารอากาศ และทหารเรือ
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ หลังจากการทำรัฐประหารรัฐบาลของจอมพล ถนอม กิตติขจร เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไม่เรียบร้อย
ในช่วงที่บริหารประเทศ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สร้างผลงานทั้งทางด้านการปรับปรุงการบริหารและการพัฒนาประเทศไว้มากมาย ผลงานที่สำคัญๆ ได้แก่ การออกกฎหมายเลิกการเสพ และจำหน่ายฝิ่นโดยเด็ดขาด กฎหมายปราบปรามพวกนักเลง อันธพาล กฎหมาย ปรามการค้าประเวณี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำการศึกษา ค้นคว้า วิจัย จนกระทั่งได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศฉบับที่ ๑ (ปี พ.ศ.๒๕๐๔ - พ.ศ.๒๕๐๙) ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นแม่แบบของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๐๖ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รวมอายุได้ ๕๕ ปี และเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เสียชีวิตลงในขณะที่ดำรงตำแหน่ง
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๙
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ - ๘ ธันวาคม ๒๕๐๖
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๙
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ - ๘ ธันวาคม ๒๕๐๖
นายพจน์ สารสิน
นายพจน์ สารสิน
ประวัติ
นายพจน์ สารสิน เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๔๘ ที่บ้านพักถนนสุรศักดิ์ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของพระยาสารสินสวามิภักดิ์ (เทียนฮี้) กับคุณหญิงสุ่น สมรสกับคุณหญิงศิริ สารสิน ศึกษาที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อกลับมาสู่ประเทศไทยเข้าเรียนวิชากฎหมาย จนสอบได้เนติบัณฑิตไทยเมื่อปี ๒๔๗๒ และศึกษาวิชากฎหมายในประเทศอังกฤษ
นายพจน์ สารสิน เริ่มบทบาททางการเมืองด้วยการสนับสนุนของ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม โดยการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ และเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี พ.ศ.๒๔๙๑ และต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๒ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่ภายหลัง ได้ลาออกเนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาลเกี่ยวกับการรับรองรัฐบาลเบาได๋ แห่งเวียดนามใต้
ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๙๕ - พ.ศ.๒๕๐๐ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาและทำหน้าที่ผู้แทนของประเทศไทยประจำองค์การสหประชาชาติ และในเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๐ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันรวมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ.)
นายพจน์ สารสิน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๐ หลังจากการทำรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภารกิจสำคัญของรัฐบาลคือจะต้องเร่งจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้บริสุทธิ์และยุติธรรมอันเป็นสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง และเป็นเหตุผลที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจจากรัฐบาลชุดเก่า
หลังจากที่ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายพจน์ สารสิน ก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกลับไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ส.ป.อ. ตามเดิม หลังชีวิตราชการ คนพำนักอยู่ที่บ้านพักในกรุงเทพมหานคร และยุติบทบาททางการเมืองโดยสิ้นเชิงจนถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๓ รวมอายุได้ ๙๕ ปีเศษ
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ ๑ คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๗ : ๒๑ กันยายน ๒๕๐๐ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๐
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ประวัติ
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๔๔ เวลา ๐๔.๐๐ น. ที่ตำบลหัวรอ อำเภอรอบกรุง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายอู๋ กับนางเงิน ธารีสวัสดิ์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายเรือ กรุงเทพ และได้ศึกษาวิชากฎหมายจนสำเร็จได้เป็นเนติบัณฑิตไทย ในขณะที่รับราชการอยู่ในกองทัพเรือ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และราชทินนามเป็นหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ และได้เริ่มบทบาททางการเมืองโดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนประเภท ๒ และได้เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรี ครั้งแรกในสมัยรัฐบาลของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อปี ๒๔๗๖ จนกระทั่งในปี ๒๔๗๙ - ๒๔๘๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในสมัยรัฐบาลของ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก นายปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๔๘๙ ในช่วงที่เข้ารับตำแหน่งนั้น ประเทศอยู่ในภาวะหลังสงคราม เศรษฐกิจของประเทศกำลังทรุดหนัก พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้แก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจด้วยการจัดตั้ง "องค์การสรรพาหาร" ขึ้น โดยการซื้อของแพงมาขายถูกให้แก่ประชาชนเพื่อตรึงราคาสินค้าไม่ให้สูง และเรียกเก็บธนบัตรที่ฝ่ายสัมพันธมิตรนำเข้ามาใช้จ่ายจากประชาชน ด้วยการออกธนบัตรใหม่ให้แลกรวมทั้งนำเอาทองคำซึ่งเป็นทุนสำรองของชาติออกขายแก่ประชาชน
เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เกิดการรัฐประหารโดยการนำของจอมพล ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก กาจ กาจสงคราม ทำให้คนต้องเดินทางออกนอกประเทศไปลี้ภัยอยู่ที่ฮ่องกงระยะหนึ่ง แล้วจึงกลับประเทศไทยและใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบต่อมา พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๑ ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รวมอายุได้ ๘๗ ปี
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ ๑
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๗ : ๒๓ สิงหาคม ๒๔๘๙ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๐
สมัยที่ ๒
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๘ : ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๐ - ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐
สมัยที่ ๑
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๗ : ๒๓ สิงหาคม ๒๔๘๙ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๐
สมัยที่ ๒
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๘ : ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๐ - ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐
ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี พนมยงค์
ประวัติ
นายปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๔๓ ที่ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายเสียง กับ นางลูกจันทร์ พนมยงค์ สมรสกับคนผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
เริ่มการศึกษาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม เมื่ออายุเพียง ๑๙ ปี
ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ ได้รับทุนไปศึกษาต่อวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส โดยศึกษาภาษาฝรั่งเศสและความรู้ทั่วไปที่ วิทยาลัยกอง (Lycee Caen) และศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยกอง (Caen) ได้รับปริญญาทางกฎหมายและได้ " ลิซองซิเอ ทางกฎหมาย" จากนั้นศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส ได้ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย (Docteur en Droit) ฝ่ายเนติศาสตร์ และประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปารีส
ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รับเลือกเป็นสภานายกแห่งสมาคมนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย นายปรีดี พนมยงค์ ได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ แล้วย้ายไปเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมายและเป็นอาจารย์สอนกฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย จนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นอำมาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๒
นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญในการก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวในครั้งนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นเสนอรัฐบาล แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องเดินทางออกนอกประเทศ ภายหลังเมื่อพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการในคณะหนึ่งเพื่อสอบสวนว่านายปรีดี พนมยงค์ เป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ ผลการสอบสวนปรากฎว่า นายปรีดี พนมยงค์ ไม่มีมลทิน และนายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
ในด้านการศึกษา นายปรีดี พนมยงค์ ได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นคนแรก
ในขณะที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ นายปรีดี พนมยงค์ ถูกกันให้พ้นจากตำแหน่งทางการเมือง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังดำเนินอยู่ นายปรีดี พนมยงค์ ได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ติดต่อประสานงานกับขบวนการเสรีไทยภายนอกประเทศ ภายใต้การนำของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับๆ จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโสและร่วมกับรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ดำเนินการประกาศว่า การที่รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอเมริกาและอังกฤษเป็นโมฆะ และได้หาทางผ่อนคลายสัญญาสมบูรณ์แบบที่ผูกมัดไทย เนื่องจากผลของการแพ้สงคราม
นายปรีดี พนมยงค์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๗ ของไทย เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๙ เนื่องจากรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ได้ลาออก ในช่วงที่นายปรีดี พนมยงค์ บริหารประเทศอยู่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือ ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ได้เกิดกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วยพระแสงปืน รัฐบาลถูกโจมตีอย่างหนักโดยถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลพยายามปิดบังและอำพรางความจริงในกรณีสวรรคต รวมทั้งไม่สามารถหาข้อเท็จจริงในการสวรรคตมาแจ้งให้ประชาชนทราบได้ ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ จึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๔๘๙
ต่อมาเมื่อนายทหารบกทั้งใน และนอกราชการได้ก่อการรัฐประหารรัฐบาลของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ นายปรีดี พนมยงค์ ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปพำนักอยู่ที่มาเลเซียและได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเวลาหลายปี ต่อจากนั้นได้ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบเงียบที่ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจวายที่บ้านพักชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖ รวมอายุได้ ๘๓ ปี
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ ๑
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๕ : ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๙ - ๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙
สมัยที่ ๒
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๖ : ๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙ - ๒๑ สิงหาคม ๒๔๘๙
สมัยที่ ๑
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๕ : ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๙ - ๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙
สมัยที่ ๒
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๖ : ๑๑ มิถุนายน ๒๔๘๙ - ๒๑ สิงหาคม ๒๔๘๙
ทวี บุณยเกตุ
ทวี บุณยเกตุ
ประวัติ
นายทวี บุณยเกตุ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๗ เวลา ๑๓.๒๐ น. ที่จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพระยารณชัยชาญยุทธ์ (ถนอม บุณยเกตุ) กับคุณหญิงรณชัยชาญยุทธ์ (ทับทิม) สมรสกับคุณหญิงอำภาศรี บุณยเกตุ
เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และโรงเรียนราชวิทยาลัย ตามลำดับ จากนั้นไปศึกษาต่อที่ คิงส์คอลเลจ ประเทศอังกฤษ และไปศึกษาต่อในด้านวิชากสิกรรม ที่มหาวิทยาลัยกรีนยอง ประเทศฝรั่งเศส
หลังจากสำเร็จการศึกษา นายทวี บุณยเกตุ ได้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการบำรุงพันธุ์สัตว์ชั้น ๒ กรมเพาะปลูก กระทรวงเกษตรราธิการ จนกระทั่งวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เข้าร่วมกับคณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยรัฐบาลของพันตรีควง อภัยวงศ์
นายทวี บุณยเกตุ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๔๘๘ หลังจากที่พันตรี ควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคน เป็นการดำรงตำแหน่งเพียงชั่วคราวเพื่อรอการเดินทางกลับของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าขบวนการเสรีไทยสายต่างประเทศที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการเจรจากับฝ่ายพันธมิตร ให้เป็นผลดีแก่ประเทศไทยต่อไประยะเวลาในการบริหารประเทศของคนจึงสิ้นเพียง ๑๗ วัน เคนั้น
ถึงแม้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม คนก็มีภารกิจสำคัญมากมายในช่วงที่การเมืองทั้งภายในภายนอกประเทศกำลังผันผวน ประเทศมหาอำนาจจะยอมรับการประกาศสงครามกับพันธมิตรเป็นโมฆะหรือไม่ ภารกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การต้อนรับคณะนายทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่เดินทางเข้ามาสำรวจความเสียหายในประเทศไทย
เมื่อพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว นายทวี บุณยเกตุ ได้เข้าดำรงตำแหน่งในสภาร่างรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยทำหน้าที่เป็นประธานสภา หลังจากนั้นจึงได้วางมือจากการเมืองตลอดไป คนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ รวมอายุ ๖๗ ปี
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๒
๓๑ สิงหาคม ๒๔๘๘ - ๑๗ กันยายน ๒๔๘๘
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๒
๓๑ สิงหาคม ๒๔๘๘ - ๑๗ กันยายน ๒๔๘๘
พระยาพหลพลพยุหเสนา
พระยาพหลพลพยุหเสนา
ประวัติ
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ชื่อเดิมว่า "พจน์ พหลโยธิน" เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๓๐ เวลา ๐๓.๓๐ น. ณ บ้านหน้าวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (ถิ่น พหลโยธิน) กับคุณหญิงจับ สมรสกับคนผู้หญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา
เริ่มการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาส (วัดสามปลื้ม) และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลวิทยาลัย จนกระทั่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก ต่อมาเมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกในเมืองโกรสลิสเตอร์ เฟล เด ประเทศ เยอรมันนี ศึกษาอยู่ ๓ ปี ต่อจากนั้นได้เข้าประจำอยู่ในกองทัพบกเยอรมัน สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๔ ในปี พ.ศ.๒๔๕๕ ได้เดินทางไปศึกษาต่อวิชาช่างแสงที่ประเทศเดนมาร์ก เรียนได้ปีเดียวก็ถูกเรียกตัวกลับเนื่องจากเงินทุนการศึกษาไม่เพียงพอ
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ชื่อเดิมว่า "พจน์ พหลโยธิน" เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๓๐ เวลา ๐๓.๓๐ น. ณ บ้านหน้าวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (ถิ่น พหลโยธิน) กับคุณหญิงจับ สมรสกับคนผู้หญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา
เริ่มการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาส (วัดสามปลื้ม) และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลวิทยาลัย จนกระทั่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก ต่อมาเมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกในเมืองโกรสลิสเตอร์ เฟล เด ประเทศ เยอรมันนี ศึกษาอยู่ ๓ ปี ต่อจากนั้นได้เข้าประจำอยู่ในกองทัพบกเยอรมัน สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๔ ในปี พ.ศ.๒๔๕๕ ได้เดินทางไปศึกษาต่อวิชาช่างแสงที่ประเทศเดนมาร์ก เรียนได้ปีเดียวก็ถูกเรียกตัวกลับเนื่องจากเงินทุนการศึกษาไม่เพียงพอ
พระยาพหลพลพยุหเสนาเข้ารับราชการครั้งแรกประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๔ จังหวัดราชบุรี อีกสามปีต่อมาได้เข้าประจำกรมทหารปืนใหญ่ บางซื่อ พระนคร และในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ได้ย้ายไปเป็นผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๙ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในชีวิตราชการนั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงและพระตามลำดับในราชทินนามเดียวกันว่า " สรายุทธสรสิทธิ์" และได้ เลื่อนยศทางทหารมาตามลำดับ กระทั่งได้เป็น พันเอก เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๑
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๗๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์เวร และเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลพลพยุหเสนา มีราชทินนามเดียวกับบิดา
เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้ร่วมกับคณะราษฏรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการ ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๗๖ โดยการทำรัฐประหารรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาตลอดระยะเวลาที่บริหารประเทศ ต้องเผชิญปัญหานานัปการ จนต้องลาออกจากตำแหน่งหลายครั้ง และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่ ในที่สุดเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ตัดสินใจยุบสภาและลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ถึงแม้พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาจะวางมือจากตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองแล้ว ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ คนได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ และได้รับยศ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๗๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์เวร และเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลพลพยุหเสนา มีราชทินนามเดียวกับบิดา
เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้ร่วมกับคณะราษฏรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการ ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๗๖ โดยการทำรัฐประหารรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาตลอดระยะเวลาที่บริหารประเทศ ต้องเผชิญปัญหานานัปการ จนต้องลาออกจากตำแหน่งหลายครั้ง และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่ ในที่สุดเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ตัดสินใจยุบสภาและลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ถึงแม้พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาจะวางมือจากตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองแล้ว ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ คนได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ และได้รับยศ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ถึงแก่อสัญกรรมด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๐ รวมอายุได้ ๖๐ ปี
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ ๑
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ : ๒๑ มิถุนายน ๒๔๗๖ - ๑๖ ธันวาคม ๒๔๗๖
สมัยที่ ๒
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕: ๑๖ ธันวาคม ๒๔๗๖ - ๒๒ กันยายน ๒๔๗๗
สมัยที่ ๓
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖: ๒๒ กันยายน ๒๔๗๗ - ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๘๐
สมัยที่ ๔
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๗: ๙ สิงหาคม ๒๔๘๐ - ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐
สมัยที่ ๕
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๘: ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐ - ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ ๑
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ : ๒๑ มิถุนายน ๒๔๗๖ - ๑๖ ธันวาคม ๒๔๗๖
สมัยที่ ๒
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕: ๑๖ ธันวาคม ๒๔๗๖ - ๒๒ กันยายน ๒๔๗๗
สมัยที่ ๓
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖: ๒๒ กันยายน ๒๔๗๗ - ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๘๐
สมัยที่ ๔
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๗: ๙ สิงหาคม ๒๔๘๐ - ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐
สมัยที่ ๕
คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๘: ๒๑ ธันวาคม ๒๔๘๐ - ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 1 ตุลาคม 2549
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
เกิดเมื่อ 28 สิงหาคม 2486
เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี
เกิดเมื่อ 28 สิงหาคม 2486
เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี
บิดา พ.ท.พโยม จุลานนท์ อดีต ส.ส. เพชรบุรี อดีตแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)
มารดา นางอัมโภช จุลานนท์
มารดา นางอัมโภช จุลานนท์
การศึกษา
โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์
โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 1
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 12
- โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
- โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สหรัฐอเมริกา
- หลักสูตรการบริหารทรัพยากร กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 36 (2536)
สถานสภาพครอบครัว
ภรรยา พ.อ.คุณหญิงจิตราวดี (สันทัดเวช) จุลานนท์
โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์
โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 1
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 12
- โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
- โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สหรัฐอเมริกา
- หลักสูตรการบริหารทรัพยากร กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 36 (2536)
สถานสภาพครอบครัว
ภรรยา พ.อ.คุณหญิงจิตราวดี (สันทัดเวช) จุลานนท์
บุตร 3 คน
ร.ต.นนท์ จุลานนท์
นายสันต์ จุลานนท์
นายจุลล์ จุลานนท์
ร.ต.นนท์ จุลานนท์
นายสันต์ จุลานนท์
นายจุลล์ จุลานนท์
ประวัติการทำงาน
พ.ศ. 2508 ประจำศูนย์การทหารราบ
พ.ศ. 2509 ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 1 กรมผสมที่ 31
พ.ศ. 2513 ผู้บังคับชุดปฏิบัติการ กองร้อยรพิเศษ กองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 2
พ.ศ. 2515 ครูโรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ
พ.ศ. 2521 ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมผสมที่ 23
พ.ศ. 2526 ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 กองพลรบพิเศษที่ 1
พ.ศ. 2532 ผู้บัญชาการกองรบพิเศษที่ 1
พ.ศ. 2535 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
พ.ศ. 2537 แม่ทัพภาคที่ 2
พ.ศ. 2540 ที่ปรึกษาพิเศษ กองทัพบก
พ.ศ. 2540 ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
พ.ศ. 2541–2545 ผู้บัญชาการทหารบก
พ.ศ. 2545–2546 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี
พ.ศ. 2546 กรรมการบริหารมูลนิธิอานันทมหิดล
พ.ศ. 2508 ประจำศูนย์การทหารราบ
พ.ศ. 2509 ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 1 กรมผสมที่ 31
พ.ศ. 2513 ผู้บังคับชุดปฏิบัติการ กองร้อยรพิเศษ กองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 2
พ.ศ. 2515 ครูโรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ
พ.ศ. 2521 ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมผสมที่ 23
พ.ศ. 2526 ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 กองพลรบพิเศษที่ 1
พ.ศ. 2532 ผู้บัญชาการกองรบพิเศษที่ 1
พ.ศ. 2535 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
พ.ศ. 2537 แม่ทัพภาคที่ 2
พ.ศ. 2540 ที่ปรึกษาพิเศษ กองทัพบก
พ.ศ. 2540 ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
พ.ศ. 2541–2545 ผู้บัญชาการทหารบก
พ.ศ. 2545–2546 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี
พ.ศ. 2546 กรรมการบริหารมูลนิธิอานันทมหิดล
ตำแหน่งพิเศษ
พ.ศ. 2526 ราชองค์รักษ์เวร
นายทหารคนสนิท นายกรัฐมนตรี (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)
พ.ศ. 2531 นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2535 และ 2539 สมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 1 และ 2
พ.ศ. 2526 ราชองค์รักษ์เวร
นายทหารคนสนิท นายกรัฐมนตรี (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)
พ.ศ. 2531 นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2535 และ 2539 สมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 1 และ 2
สำหรับภารกิจอื่นๆ ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้น ปี 2535-2539 ได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาครั้งที่ 1 และ 2 ทั้งยังเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ในปี 2543 นอกจากนี้ในวันที่ 24-25 ม.ค. 2543 นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ยังได้มอบหมายให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ในฐานะ ผบ.ทบ. ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ กรณีกองกำลังกะเหรี่ยงก๊อดส์อาร์มี่รวม 10 คน บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี โดย พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ตัดสินใจปฏิบัติการจู่โจม “เก็บ” ผู้ก่อการร้ายทั้ง 10 คนในเช้าวันที่ 25 ม.ค. หลังการเจรจาร่วม 24 ชั่วโมงไม่ประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากคนร้ายไม่มีตัวประกันหรือเจ้าหน้าที่คนใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ภายหลังเกษียณอายุราชการได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2546 ดูแลด้านความมั่นคงและปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายตามที่ทรงพระประสงค์ และในปีเดียวกันนี้ นิตยสาร “ไทม์” ได้ยกย่องให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ารับตำแหน่ง “ผู้นำอาเซียนแห่งปี” (ASIAN HERO OF THE YEAR)
นอกจากนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ ยังรับเป็นประธาน “มูลนิธิอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” เนื่องจากเป็นคนรักษาป่าและถือว่าเขาใหญ่เป็นอุทยานที่สมบูรณ์ ประกอบกับเขาใหญ่ประสบปัญหาพรานลักลอบเข้ามาทำไม้กฤษณา จึงเข้าไปช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการส่งเสริมอาชีพปลูกพืชผักเมืองหนาวให้กับชาวบ้านแทนการเก็บของป่าโดยความร่วมมือจากเพื่อนที่เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเป็นกรรมการ “โครงการสานใจไทยสู่ใจใต้” ของมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ริเริ่มโครงการครอบครัวอุปถัมภ์ หรือโครงการนำเด็กและเยาวชนมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาอยู่กับครอบครัวมุสลิมในต่างพื้นที่เป็นเวลา 20 วัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต
เมื่ออายุ 61 ปี กราบบังคมทูลลาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปอุปสมบท ณ วัดป่าดานวิเวก ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย เป็นเวลา 3 เดือน โดยมีหลวงปู่ทองพูล สิริกาโม เจ้าอาวาสวัดป่าภูกระแต เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ฉายาว่า “สุรยุทโธ” ลาสิกขาจากเพศบรรพชิต เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2547 ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของไทย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกล้าหาญ
พ.ศ. 2517 เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1
พ.ศ. 2533 เหรียญกล้าหาญ รามาธิบดี (รามมาลา)
พ.ศ. 2535 มหาวชิรมงกุฏ
พ.ศ. 2538 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2539 ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พ.ศ. 2544 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พ.ศ. 2517 เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1
พ.ศ. 2533 เหรียญกล้าหาญ รามาธิบดี (รามมาลา)
พ.ศ. 2535 มหาวชิรมงกุฏ
พ.ศ. 2538 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2539 ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พ.ศ. 2544 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
คาราบาว
คาราบาว
ประวัติ
วงคาราบาวเกิดจากการก่อตั้งโดยนักเรียนไทยที่ฟิลิปปินส์ 3 คน คือ ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด) กับ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) และ สานิตย์ ลิ่มศิลา (ไข่) ขึ้นที่นั่น ในปี พ.ศ. 2520 โดยคำว่า " คาราบาว " เป็นภาษาตากาล็อก คือภาษาพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ แปลว่า ควาย ซึ่งทางฟิลิปปินส์ถือเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นเกษตร โดยหมายจะเป็นวงดนตรีที่มีเนื้อหาเพื่อชีวิต
วงคาราบาวเกิดจากการก่อตั้งโดยนักเรียนไทยที่ฟิลิปปินส์ 3 คน คือ ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด) กับ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) และ สานิตย์ ลิ่มศิลา (ไข่) ขึ้นที่นั่น ในปี พ.ศ. 2520 โดยคำว่า " คาราบาว " เป็นภาษาตากาล็อก คือภาษาพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ แปลว่า ควาย ซึ่งทางฟิลิปปินส์ถือเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นเกษตร โดยหมายจะเป็นวงดนตรีที่มีเนื้อหาเพื่อชีวิต
เมื่อกลับมาเมืองไทย แอ๊ดและเขียวได้ร่วมกันเล่นดนตรีในเวลากลางคืน โดยกลางวันแอ๊ดทำงานอยู่ที่การเคหะแห่งชาติ เขียวทำให้กับบริษัทฟิลิปปินส์ที่มาเปิดในประเทศไทย ส่วนไข่ก็ได้แยกตัวออกไป ทั้งคู่ออกอัลบั้มชุดแรกของวง ในชื่อ " ขี้เมา " เมื่อปี พ.ศ. 2524 ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จนัก ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ได้มีสมาชิกในวงเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน คือ ปรีชา ชนะภัย (เล็ก) จากวงเพรซซิเด้นท์ และออกอัลบั้มเป็นชุดที่ 2 ในชื่อ " แปะขายขวด " ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอีก
คาราบาว เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในอัลบั้มชุดที่ 3 ในปี พ.ศ. 2526 จากอัลบั้ม " วณิพก " ด้วยเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม โดยมีเนื้อหาที่แปลกแผกไปจากเพลงในยุคนั้น ๆ และดนตรีที่เป็นท่วงทำนองแบบไทย ๆ ผสมกับตะวันตก มีจังหวะที่สนุกสนาน ชวนให้รู้สึกคึกคัก เต้นรำได้ คาราบาวประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในปลายปี พ.ศ. 2527 เมื่อออกอัลบั้มชื่อว่า " เมด อิน ไทยแลนด์ " ซึ่งทำยอดขายได้ถึง 5 ล้านตลับ ซึ่งเป็นสถิติยอดจำหน่ายอัลบั้มเพลงของศิลปินไทยที่สูงที่สุดไม่มีใครทำลายได้มาจนปัจจุบัน และเมื่อจัดคอนเสิร์ตใหญ่ ก็มียอดผู้ชมถึง 6 หมื่นคน
โดย คาราบาว ในยุคนี้ มีสมาชิกในวงทั้งสิ้น 7 คน ประกอบด้วย
โดย คาราบาว ในยุคนี้ มีสมาชิกในวงทั้งสิ้น 7 คน ประกอบด้วย
ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด) : ร้องนำ, กีตาร์, แต่งเพลงและดนตรี, หัวหน้าวง
ปรีชา ชนะภัย (เล็ก) : ร้องนำ, กีตาร์, แต่งเพลงและดนตรีบางส่วน
เทียรี่ เมฆวัฒนา (รี่) : ร้องนำ, กีตาร์
กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) : ร้องนำบางส่วนและประสานเสียง, กีตาร์, ควบคุมการผลิต
อนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด) : เบส
อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี : ขลุ่ย, ร้องนำบางส่วนและประสานเสียง, แซกโซโฟน, คีย์บอร์ด
อำนาจ ลูกจันทร์ (เป้า) : กลอง
ระหว่างปี พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2533 เรียกได้ว่าเป็นปีทองของคาราบาว โดยมีแอ๊ดเป็นผู้นำ โดยออกอัลบั้มออกมาทั้งหมด 5 ชุด ทุกชุดประสบความสำเร็จทั้งหมด ได้เล่นคอนเสิร์ตที่อเมริกาและยุโรปหลายครั้ง มีหลายเพลงที่ฮิตติดอยู่ในความทรงจำของแฟน ๆ จนปัจจุบัน เช่น เมดอินไทยแลนด์, เจ้าตาก, หำเทียม, มหาลัย, เรฟูจี, บาปบริสุทธิ์, แม่สาย, ทับหลัง เป็นต้น อีกทั้งได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการเพลงไทยต่าง ๆ เช่น
ปรีชา ชนะภัย (เล็ก) : ร้องนำ, กีตาร์, แต่งเพลงและดนตรีบางส่วน
เทียรี่ เมฆวัฒนา (รี่) : ร้องนำ, กีตาร์
กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) : ร้องนำบางส่วนและประสานเสียง, กีตาร์, ควบคุมการผลิต
อนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด) : เบส
อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี : ขลุ่ย, ร้องนำบางส่วนและประสานเสียง, แซกโซโฟน, คีย์บอร์ด
อำนาจ ลูกจันทร์ (เป้า) : กลอง
ระหว่างปี พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2533 เรียกได้ว่าเป็นปีทองของคาราบาว โดยมีแอ๊ดเป็นผู้นำ โดยออกอัลบั้มออกมาทั้งหมด 5 ชุด ทุกชุดประสบความสำเร็จทั้งหมด ได้เล่นคอนเสิร์ตที่อเมริกาและยุโรปหลายครั้ง มีหลายเพลงที่ฮิตติดอยู่ในความทรงจำของแฟน ๆ จนปัจจุบัน เช่น เมดอินไทยแลนด์, เจ้าตาก, หำเทียม, มหาลัย, เรฟูจี, บาปบริสุทธิ์, แม่สาย, ทับหลัง เป็นต้น อีกทั้งได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการเพลงไทยต่าง ๆ เช่น
เป็นศิลปินไทยกลุ่มแรกที่มีโฆษณาลงในปกอัลบั้มและได้รับการสนับสนุนจากภาคธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ในสังคม
การแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของวง ที่ชื่อ " ทำโดยคนไทย " ในปี พ.ศ. 2528 นับเป็นคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ครั้งแรกของศิลปินเพลงไทย และเป็นครั้งแรกด้วยที่มีการแสดงดนตรีในเวทีกลางแจ้ง
อัลบั้ม เมด อิน ไทยแลนด์ แม้จะไม่มีมิวสิควีดีโอ แต่เมื่อเพลงได้ถูกเผยแพร่ออกไป และได้รับความนิยม ทางรัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญในเนื้อหา จึงได้จัดทำมิวสิควีดีโอขึ้นมาต่างหาก เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยใช้ของไทย
เพลงบางเพลงที่มีเนื้อหาส่อเสียด มักจะถูกสั่งห้ามเผยแพร่ออกอากาศเสมอ ๆ ในแต่ละอัลบั้ม
แต่ในปี พ.ศ. 2533 สมาชิกในวง 4 คน คือ เขียว, เทียรี่, อ.ธนิสร์ และเป้า ได้แยกตัวเป็นอิสระออกไป และทางวงก็ได้รับสมาชิกเพิ่มมา มาแทนที่ตำแหน่งที่ออกไป และยังคงออกอัลบั้มต่อมา และเทียรี่ที่แยกตัวออกไป ก็ได้กลับมาร่วมวงอีกครั้ง และในปี พ.ศ. 2538 คาราบาวก็ได้ออกอัลบั้มชุดพิเศษ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสมาชิกชุดเดิม 7 คน ในชื่อชุด " 15 ปี คาราบาว หากหัวใจยังรักควาย " โดยออกมาถึง 2 ชุด ด้วยกัน
แต่หลังจากปี พ.ศ. 2540 ชื่อเสียงและความนิยมของวงคาราบาวเริ่มสร่างซาลง เนื่องจากกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไป แต่วงก็ยังคงผลิตผลงานออกมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 คาราบาว กลับมาเป็นที่ฮือฮาอีกครั้งของสังคม เมื่อวงโดยแอ๊ดมีสินค้าของตัวเองออกมาจำหน่าย เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ยี่ห้อ " คาราบาวแดง " ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และวงก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 23 คือ " นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ " มาพร้อมกัน
การแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของวง ที่ชื่อ " ทำโดยคนไทย " ในปี พ.ศ. 2528 นับเป็นคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ครั้งแรกของศิลปินเพลงไทย และเป็นครั้งแรกด้วยที่มีการแสดงดนตรีในเวทีกลางแจ้ง
อัลบั้ม เมด อิน ไทยแลนด์ แม้จะไม่มีมิวสิควีดีโอ แต่เมื่อเพลงได้ถูกเผยแพร่ออกไป และได้รับความนิยม ทางรัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญในเนื้อหา จึงได้จัดทำมิวสิควีดีโอขึ้นมาต่างหาก เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยใช้ของไทย
เพลงบางเพลงที่มีเนื้อหาส่อเสียด มักจะถูกสั่งห้ามเผยแพร่ออกอากาศเสมอ ๆ ในแต่ละอัลบั้ม
แต่ในปี พ.ศ. 2533 สมาชิกในวง 4 คน คือ เขียว, เทียรี่, อ.ธนิสร์ และเป้า ได้แยกตัวเป็นอิสระออกไป และทางวงก็ได้รับสมาชิกเพิ่มมา มาแทนที่ตำแหน่งที่ออกไป และยังคงออกอัลบั้มต่อมา และเทียรี่ที่แยกตัวออกไป ก็ได้กลับมาร่วมวงอีกครั้ง และในปี พ.ศ. 2538 คาราบาวก็ได้ออกอัลบั้มชุดพิเศษ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสมาชิกชุดเดิม 7 คน ในชื่อชุด " 15 ปี คาราบาว หากหัวใจยังรักควาย " โดยออกมาถึง 2 ชุด ด้วยกัน
แต่หลังจากปี พ.ศ. 2540 ชื่อเสียงและความนิยมของวงคาราบาวเริ่มสร่างซาลง เนื่องจากกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไป แต่วงก็ยังคงผลิตผลงานออกมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 คาราบาว กลับมาเป็นที่ฮือฮาอีกครั้งของสังคม เมื่อวงโดยแอ๊ดมีสินค้าของตัวเองออกมาจำหน่าย เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ยี่ห้อ " คาราบาวแดง " ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และวงก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 23 คือ " นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ " มาพร้อมกัน
จนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2549) คาราบาวมีอัลบั้มทั้งสิ้น 24 ชุด ไม่นับรวมถึงอัลบั้มพิเศษของทางวงหรือของสมาชิกในวง หรือบทเพลงในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ซึ่งถ้าหากนับรวมกันแล้วคงมีไม่ต่ำกว่า 100 ชุด มีเพลงไม่ต่ำกว่า 1,000 เพลง เป็นวงดนตรีที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดทั้งในวงการดนตรีทั่วไปและวงการเพลงเพื่อชีวิต เป็นที่รู้จักของผู้คนในสังคมทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ฟังเพลง หรือผู้ที่นิยมในเพลงเพื่อชีวิตเท่านั้น จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น " ตำนานเพลงเพื่อชีวิต "
ผลงานของคาราบาว
ขี้เมา (พ.ศ. 2524)
แปะขายขวด (พ.ศ. 2525)
วณิพก (พ.ศ. 2526)
ท.ทหารอดทน (พ.ศ. 2526)
เมด อิน ไทยแลนด์ (พ.ศ. 2527)
อเมริโกย (พ.ศ. 2528)
ประชาธิปไตย (พ.ศ. 2529)
เวลคัม ทู ไทยแลนด์ (พ.ศ. 2530)
ทับหลัง (พ.ศ. 2531)
ห้ามจอดควาย (พ.ศ. 2533)
วิชาแพะ (พ.ศ. 2534)
สัจจะ 10 ประการ (พ.ศ. 2535)
ช้างไห้ (พ.ศ. 2536)
คนสร้างชาติ (พ.ศ. 2537)
แจกกล้วย (พ.ศ. 2538)
15 ปี คาราบาว หากหัวใจยังรักควาย (พ.ศ. 2538)
เส้นทางสายปลาแดก (พ.ศ. 2540)
"เช ยังไม่ตาย (พ.ศ. 2540)
อเมริกันอันตราย (พ.ศ. 2541)
พออยู่พอกิน (พ.ศ. 2541)
เซียมหล่อตือ (พ.ศ. 2543)
สาวเบียร์ช้าง (พ.ศ. 2544)
นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ (พ.ศ. 2545)
สามัคคีประเทศไทย (พ.ศ. 2548)
คอนเสิร์ตครั้งสำคัญ
ทำโดยคนไทย : 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ที่เวลโลโดม สนามกีฬาหัวหมาก
10 ปี ฅนคาราบาว : 23 พฤษภาคม - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 ที่เอ็มบีเค ฮอล มาบุญครอง เซนเตอร์
ปิดทองหลังพระ : พฤษภาคม พ.ศ. 2539 ที่อินดอร์สเตเดี้ยม สนามกีฬาหัวหมาก
15 ปี เมด อิน ไทยแลนด์ : 25 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน
+20 ปี คาราบาว เรื่องราวของคน ดนตรี และเขาควาย : 21 กุมภาพันธ์ - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เมด อิน ไทยแลนด์ ภาค 2546 สังคายนา : 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี
นาวาคาราบาว : 30 เมษายน พ.ศ. 2548 ที่หอประชุมกองทัพเรือ
คอนเสิร์ตบาว - ปาน แฟนบาวได้หวาน แฟนปานได้โจะ : 6 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี
อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี
อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี
แต่ก่อนกาลท่านวีรสตรี ท้าวสุรนารีผู้เป็นใหญ่
กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย มิ่งขวัญธงชัยของเมืองเรา
กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย มิ่งขวัญธงชัยของเมืองเรา
ท้าวสุรนารีเดิมชื่อ โม หรือ โม้ ท่านเป็นบุคคลสำคัญประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครราชสีมาในฐานะผู้กอบกู้เมืองนครราชสีมา จากกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๙ คุณหญิงโม เกิดเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๕ ปีเถาะ ในแผ่นดิน พระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี บิดามารดาชื่อนายกิ่ม นางบุญมา เมื่ออายุ ๒๕ ปี ได้เข้าพิธีสมรสกับเจ้าพระยามหิศราธิบดี (ทองคำ) ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมา ครั้งยังดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นพระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัยปลัดเมืองนครราชสีมา มีนิวาสถานอยู่ ณ บ้านตรงกับข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ไปทางทิศใต้ ท่านไม่มีบุตรสืบตระกูล ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อเดือน ๕ ปีชวดพุทธศักราช ๒๓๙๕ รวมอายุได้ ๘๑ ปี
วีรกรรมของคุณหญิงโมนั้นเป็นที่คนไทยรุ่นหลังทราบดีว่า ท่านได้เป็นหัวหน้ารวบรวมครอบครัวชายหญิงชาวนครราชสีมา (ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย) เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเป็นอันมาก ณ ทุ่งสำริด แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๖๙ ที่ช่วยให้ฝ่ายไทยสามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้ในที่สุด วีรกรรมอันห้าวหาญของคุณหญิงโม เมื่อทราบไปถึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี และได้รับ พระราชทานเครื่องยศ ดังนี้ถาดทองคำใส่เครื่องเชี่ยนหมาก ๑ ใบ จอกหมากทองคำ ๑ คู่ ตลับทองคำ ๓ ใบเถา เต้าปูนทองคำ ๑ ใบ คนโทและขันน้ำทองคำอย่างละ ๑ ใบ อนุสาวรีย์ของท่านประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่วันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ และได้บูรณะใหม่ให้งามสง่ายิ่งขึ้นเมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๐
เหตุการณ์ที่สมควรจะบันทึกไว้ในปี พุทธศักราช ๒๕๒๔ คือเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ท่ามกลางพสกนิกร ที่เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีอย่างเนื่องแน่น ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า
....ท้าวสุรนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการ ความเรียบร้อยความสงบเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลก จะผันผวนและ ล่อแหลมมาก แต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกันชาติก็จะมั่นคง....
วีรกรรมของคุณหญิงโมนั้นเป็นที่คนไทยรุ่นหลังทราบดีว่า ท่านได้เป็นหัวหน้ารวบรวมครอบครัวชายหญิงชาวนครราชสีมา (ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย) เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเป็นอันมาก ณ ทุ่งสำริด แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๖๙ ที่ช่วยให้ฝ่ายไทยสามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้ในที่สุด วีรกรรมอันห้าวหาญของคุณหญิงโม เมื่อทราบไปถึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี และได้รับ พระราชทานเครื่องยศ ดังนี้ถาดทองคำใส่เครื่องเชี่ยนหมาก ๑ ใบ จอกหมากทองคำ ๑ คู่ ตลับทองคำ ๓ ใบเถา เต้าปูนทองคำ ๑ ใบ คนโทและขันน้ำทองคำอย่างละ ๑ ใบ อนุสาวรีย์ของท่านประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่วันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ และได้บูรณะใหม่ให้งามสง่ายิ่งขึ้นเมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๐
เหตุการณ์ที่สมควรจะบันทึกไว้ในปี พุทธศักราช ๒๕๒๔ คือเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ท่ามกลางพสกนิกร ที่เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีอย่างเนื่องแน่น ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า
....ท้าวสุรนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการ ความเรียบร้อยความสงบเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลก จะผันผวนและ ล่อแหลมมาก แต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกันชาติก็จะมั่นคง....
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปจากเว็บไซต์ http://www.kanchanapisek.or.th
อนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารี หรือ คุณหญิงโม [ย่าโม]
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2477 ตั้งอยู่หน้าประตูชุมพล ซึ่งเป็นประตูเมืองเก่าทางด้านทิศตะวันตก อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองแดง รมดำ สูง1.85 เมตร หนัก 325 กิโลกรัม ประดิษฐานอยู่บนไพทีสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง สูง 2.5 เมตร รูปหล่อท่านท้าวสุรนารี ตัดผมทรง ดอกกระทุ่ม แต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทาน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอว หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กรุงเทพฯ อนุสาวรีย์นี้เป็นที่เคารพสักการะ ของชาวจังหวัดนครราชสีมา และประชาชนทั่วไป
ชาวนครราชสีมา จัดให้มี งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท่านท้าวสุรนารี เป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน
ท้าวสุรนารี นามเดิม คุณหญิงโม เป็นธิดา นายกิ่ม นางบุญมา เกิดเมื่อพ.ศ.2314 สมรสกับพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา(ทองคำ) ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง เป็น พระยามหิศราธิบดี
ในปี พ.ศ.2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์บุตรเจ้าศิริบุญสาร ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้างและเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยต้องการเป็นเอกราช จึงเป็นกบฏยกทัพจะมาตีกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์ใช้อุบายหลอกลวงเจ้าเมืองตามรายทาง โดยปลอม ท้องตราพระราชสีห์ ว่า ไทยขอให้เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาช่วยรบกับอังกฤษ ซึ่งยกทัพเรือจะมาตีกรุงเทพๆ จึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านและ มีความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าพระยามหานครราชสีมา ไม่อยู่ และพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการเมืองขุขันธ์ กองทัพเจ้าอนุวงศ์มาถึง จึงเข้ายึดเมือง ยึดทรัพย์สินและให้เพี้ยรามพิชัย หรือพระยารามพิชัย กวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลยศึก เดินทางกลับไปเวียงจันทร์ก่อน ส่วนเจ้าอนุวงศ์เดินทัพต่อไปยังสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพๆ
ในบรรดาเชลยศึกมีคุณหญิงโมรวมอยู่ด้วย คุณหญิงโม เป็นหญิงที่ฉลาดหลักแหลมรู้ทันว่า เจ้าอนุวงศ์หลอกลวง คุณหญิงโมออกอุบายให้ทหารเวียงจันทร์ ตายใจ โดยให้หญิงไทยที่ถูกต้อนเป็นเชลยยั่วยวน หน่วงเหนี่ยวทหารให้เดินทัพช้าลง วางแผนให้พวกผู้หญิง หลอกขอมีด จอบ เสียม มาใช้ซ่อมเกวียนและทำอาหาร แท้จริงแล้วกลับนำมีด จอบ เสียมนั้นมาลอบตัดไม้เป็นอาวุธแอบซ่อนไว้
ชาวนครราชสีมา จัดให้มี งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท่านท้าวสุรนารี เป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน
ท้าวสุรนารี นามเดิม คุณหญิงโม เป็นธิดา นายกิ่ม นางบุญมา เกิดเมื่อพ.ศ.2314 สมรสกับพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา(ทองคำ) ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง เป็น พระยามหิศราธิบดี
ในปี พ.ศ.2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์บุตรเจ้าศิริบุญสาร ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้างและเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยต้องการเป็นเอกราช จึงเป็นกบฏยกทัพจะมาตีกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์ใช้อุบายหลอกลวงเจ้าเมืองตามรายทาง โดยปลอม ท้องตราพระราชสีห์ ว่า ไทยขอให้เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาช่วยรบกับอังกฤษ ซึ่งยกทัพเรือจะมาตีกรุงเทพๆ จึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านและ มีความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าพระยามหานครราชสีมา ไม่อยู่ และพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการเมืองขุขันธ์ กองทัพเจ้าอนุวงศ์มาถึง จึงเข้ายึดเมือง ยึดทรัพย์สินและให้เพี้ยรามพิชัย หรือพระยารามพิชัย กวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลยศึก เดินทางกลับไปเวียงจันทร์ก่อน ส่วนเจ้าอนุวงศ์เดินทัพต่อไปยังสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพๆ
ในบรรดาเชลยศึกมีคุณหญิงโมรวมอยู่ด้วย คุณหญิงโม เป็นหญิงที่ฉลาดหลักแหลมรู้ทันว่า เจ้าอนุวงศ์หลอกลวง คุณหญิงโมออกอุบายให้ทหารเวียงจันทร์ ตายใจ โดยให้หญิงไทยที่ถูกต้อนเป็นเชลยยั่วยวน หน่วงเหนี่ยวทหารให้เดินทัพช้าลง วางแผนให้พวกผู้หญิง หลอกขอมีด จอบ เสียม มาใช้ซ่อมเกวียนและทำอาหาร แท้จริงแล้วกลับนำมีด จอบ เสียมนั้นมาลอบตัดไม้เป็นอาวุธแอบซ่อนไว้
ระหว่างพักที่ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงพิมาย ซึ่งห่างจากตัวเมืองนครราชสีมา ประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2369 สบโอกาสเหมาะ พวกผู้หญิง ช่วยกัน หลอกล่อ มอมเหล้าทหารจนเมามายไร้สติไปทั้งกองทัพ แล้วช่วยกันทั้งหญิงและชายแย่งอาวุธฆ่าฟัน จนทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก กองทัพแตกพ่ายไป เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว จึงตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ชาวเมืองที่หนีรู้ข่าวการชนะศึก จึงพากันกลับมาสมทบ และพระยาปลัดก็ยกทัพตามมาช่วยทันเวลา ส่วนเจ้าอนุวงศ์รู้ข่าวว่ากรุงเทพๆ ยกทัพขึ้นมาช่วย จึงเลิกทัพกลับไปเวียงจันทร์
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2486 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศไทย (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 9 ตุลาคม 2549) โดยเป็นนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร และไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก่อนหน้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และองคมนตรี
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรของพันโทพโยม จุลานนท์ (บุตร พันเอกพระยาวิเศษสิงหนาถ (ยิ่ง จุลานนท์)) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสูงระดับแกนนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเป็นที่รู้จักกันในนาม "สหายคำตัน" กับนางอัมโภช จุลานนท์ (บุตร พันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ))
ชีวิตครอบครัวพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สมรสกับพันเอกหญิง คุณหญิง จิตรวดี จุลานนท์ (สกุลเดิม "สันทัดเวช") มีบุตรชาย 3 คน คือ ร้อยโทนนท์ จุลานนท์ นายสันต์ จุลานนท์ และ นายจุลล์ จุลานนท์
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรของพันโทพโยม จุลานนท์ (บุตร พันเอกพระยาวิเศษสิงหนาถ (ยิ่ง จุลานนท์)) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสูงระดับแกนนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเป็นที่รู้จักกันในนาม "สหายคำตัน" กับนางอัมโภช จุลานนท์ (บุตร พันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ))
ชีวิตครอบครัวพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สมรสกับพันเอกหญิง คุณหญิง จิตรวดี จุลานนท์ (สกุลเดิม "สันทัดเวช") มีบุตรชาย 3 คน คือ ร้อยโทนนท์ จุลานนท์ นายสันต์ จุลานนท์ และ นายจุลล์ จุลานนท์
การศึกษา โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์
โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 1
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 12
- โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
- โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สหรัฐอเมริกา
- หลักสูตรการบริหารทรัพยากร กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 36 (2536)
โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 1
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 12
- โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
- โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สหรัฐอเมริกา
- หลักสูตรการบริหารทรัพยากร กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 36 (2536)
การทำงาน พุทธศักราช 2508 ประจำศูนย์การทหารราบ
พุทธศักราช 2509 ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 1 กรมผสมที่ 31
พุทธศักราช 2513 ผู้บังคับชุดปฏิบัติการ กองร้อยรพิเศษ กองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 2
พุทธศักราช 2515 ครูโรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ
พุทธศักราช 2521 ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมผสมที่ 23
พุทธศักราช 2526 ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 กองพลรบพิเศษที่ 1
พุทธศักราช 2532 ผู้บัญชาการกองรบพิเศษที่ 1
พุทธศักราช 2535 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
พุทธศักราช 2537 แม่ทัพภาคที่ 2
พุทธศักราช 2540 ที่ปรึกษาพิเศษ กองทัพบก
พุทธศักราช 2540 ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
พุทธศักราช 2541–2545 ผู้บัญชาการทหารบก
พุทธศักราช 2545–2546 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
14 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2546 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี
พุทธศักราช 2546 กรรมการบริหารมูลนิธิอานันทมหิดล
ตำแหน่งพิเศษ
พุทธศักราช 2526 ราชองค์รักษ์เวร
นายทหารคนสนิท นายกรัฐมนตรี (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)
พุทธศักราช 2531 นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
พุทธศักราช 2535 และ 2539 สมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 1 และ 2
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกล้าหาญ
พุทธศักราช 2517 เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1
พุทธศักราช 2533 เหรียญกล้าหาญ รามาธิบดี (รามมาลา)
พุทธศักราช 2535 มหาวชิรมงกุฏ
พุทธศักราช 2538 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
พุทธศักราช 2539 ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พุทธศักราช 2544 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พุทธศักราช 2509 ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 1 กรมผสมที่ 31
พุทธศักราช 2513 ผู้บังคับชุดปฏิบัติการ กองร้อยรพิเศษ กองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 2
พุทธศักราช 2515 ครูโรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ
พุทธศักราช 2521 ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมผสมที่ 23
พุทธศักราช 2526 ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 กองพลรบพิเศษที่ 1
พุทธศักราช 2532 ผู้บัญชาการกองรบพิเศษที่ 1
พุทธศักราช 2535 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
พุทธศักราช 2537 แม่ทัพภาคที่ 2
พุทธศักราช 2540 ที่ปรึกษาพิเศษ กองทัพบก
พุทธศักราช 2540 ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
พุทธศักราช 2541–2545 ผู้บัญชาการทหารบก
พุทธศักราช 2545–2546 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
14 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2546 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี
พุทธศักราช 2546 กรรมการบริหารมูลนิธิอานันทมหิดล
ตำแหน่งพิเศษ
พุทธศักราช 2526 ราชองค์รักษ์เวร
นายทหารคนสนิท นายกรัฐมนตรี (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)
พุทธศักราช 2531 นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
พุทธศักราช 2535 และ 2539 สมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 1 และ 2
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกล้าหาญ
พุทธศักราช 2517 เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1
พุทธศักราช 2533 เหรียญกล้าหาญ รามาธิบดี (รามมาลา)
พุทธศักราช 2535 มหาวชิรมงกุฏ
พุทธศักราช 2538 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
พุทธศักราช 2539 ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พุทธศักราช 2544 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พุทธศักราช 2489 ผู้บัญชาการทหารบก และเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในเหตุการณ์รัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549
พลเอกสนธิ เป็นบุตรของ พันเอกสนั่น บุญยรัตกลิน เติบโตในครอบครัวมุสลิม ในจังหวัดปทุมธานี นับถือศาสนาอิสลาม นิกายชีอะห์ ต้นตระกูล เฉกอะหมัด หรือ เจ้าพระยาบวรราชนายก ขุนนางเชื้อสายเปอร์เซีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี และ สมุหนายกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ลูกหลานบางส่วนของเฉก อาหมัด เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เช่น ตระกูลบุนนาค ตระกูลจุฬารัตน์
พลเอกสนธิ เป็นบุตรของ พันเอกสนั่น บุญยรัตกลิน เติบโตในครอบครัวมุสลิม ในจังหวัดปทุมธานี นับถือศาสนาอิสลาม นิกายชีอะห์ ต้นตระกูล เฉกอะหมัด หรือ เจ้าพระยาบวรราชนายก ขุนนางเชื้อสายเปอร์เซีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี และ สมุหนายกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ลูกหลานบางส่วนของเฉก อาหมัด เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เช่น ตระกูลบุนนาค ตระกูลจุฬารัตน์
การศึกษา ศึกษาในระดับประถมและมัธยมที่ โรงเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ และศึกษาต่อที่ โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 และศึกษาต่อโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ รุ่นที่ 17 และได้ศึกษาในระดับอุดมศึกษา ปริญญาโท สาขาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (การทหาร) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง และวิทยาลัยป้องกันราชาอาณาจักร (รุ่นที่ 42) และได้ศึกษาหลักสูตรพิเศษอื่นๆ ได้แก่
- พุทธศักราช 2511 หลักสูตรส่งทางอากาศและหลักสูตรจู่โจม โรงเรียนศูนย์การทหารราบ - พุทธศักราช 2511 หลักสูตรชั้นนายร้อยทหารราบ หลักสูตรสงครามทุ่นระเบิด โรงเรียนศูนย์การทหารช่าง
- พุทธศักราช 2512 หลักสูตรผู้บังคับหมวดช่างโยธาและกระสุน โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
- พุทธศักราช 2516 หลักสูตรภาษาอังกฤษ โรงเรียนยุทธศึกษาทหารบก
- พุทธศักราช 2519 หลักสูตรลาดตระเวนระยะไกล โรงเรียนศูนย์การทหารราบ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
- พุทธศักราช 2522 หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 57
- พุทธศักราช 2542 ปริญญาโท สาขาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (การทหาร) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง - พุทธศักราช 2542 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 42
- พุทธศักราช 2511 หลักสูตรส่งทางอากาศและหลักสูตรจู่โจม โรงเรียนศูนย์การทหารราบ - พุทธศักราช 2511 หลักสูตรชั้นนายร้อยทหารราบ หลักสูตรสงครามทุ่นระเบิด โรงเรียนศูนย์การทหารช่าง
- พุทธศักราช 2512 หลักสูตรผู้บังคับหมวดช่างโยธาและกระสุน โรงเรียนศูนย์การทหารราบ
- พุทธศักราช 2516 หลักสูตรภาษาอังกฤษ โรงเรียนยุทธศึกษาทหารบก
- พุทธศักราช 2519 หลักสูตรลาดตระเวนระยะไกล โรงเรียนศูนย์การทหารราบ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
- พุทธศักราช 2522 หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 57
- พุทธศักราช 2542 ปริญญาโท สาขาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (การทหาร) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง - พุทธศักราช 2542 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 42
การรับราชการ - เริ่มรับราชการครั้งแรกใน ตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบ ศูนย์การทหารราบ
- พุทธศักราช 2526 ผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 1 (ผบ.รพศ.1 พัน.2)
- พุทธศักราช 2533 ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 (ผบ.รพศ.1)
- พุทธศักราช 2542 ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 รองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.พล.รพศ.1)
- พุทธศักราช 2545 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.)
- พุทธศักราช 2547 ผู้ช่วยผู้บัญชาการกงทัพบก (ผช.ผบ.ทบ.)
- พุทธศักราช 2548 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
- พุทธศักราช 2526 ผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 1 (ผบ.รพศ.1 พัน.2)
- พุทธศักราช 2533 ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 (ผบ.รพศ.1)
- พุทธศักราช 2542 ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 รองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.พล.รพศ.1)
- พุทธศักราช 2545 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.)
- พุทธศักราช 2547 ผู้ช่วยผู้บัญชาการกงทัพบก (ผช.ผบ.ทบ.)
- พุทธศักราช 2548 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประเภทบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน - พุทธศักราช 2519 : จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย (จ.ม.)
- พุทธศักราช 2527 ตริตราภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
- พุทธศักราช 2532 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)
- พุทธศักราช 2534 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช)
- พุทธศักราช 2538 ประถมาภรณ์มงกุฎไทยท (ป.ม.)
- พุทธศักราช 2542 ประถมภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
ประเภทเหรียญราชอิสริยาภรณ์ บำเหน็จกล้าหาญ
- พุทธศักราช 2513 เหรียญกล้าหาญสหรัฐ ฯ ACM" V "
- พุทธศักราช 2515 เหรียญชัยสมรภูมิ(วน.)ประดับเปลวระเบิด
- พุทธศักราช 2516 เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 (ส.ช.)
ประเภทเหรียญราชอิสริยาภรณ์ บำเหน็จราชการ - พุทธศักราช 2525 เหรียญราชการชายแดน (ช.ด.)
- พุทธศักราช 2532 เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)
- พุทธศักราช 2527 ตริตราภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
- พุทธศักราช 2532 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)
- พุทธศักราช 2534 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช)
- พุทธศักราช 2538 ประถมาภรณ์มงกุฎไทยท (ป.ม.)
- พุทธศักราช 2542 ประถมภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
ประเภทเหรียญราชอิสริยาภรณ์ บำเหน็จกล้าหาญ
- พุทธศักราช 2513 เหรียญกล้าหาญสหรัฐ ฯ ACM" V "
- พุทธศักราช 2515 เหรียญชัยสมรภูมิ(วน.)ประดับเปลวระเบิด
- พุทธศักราช 2516 เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 (ส.ช.)
ประเภทเหรียญราชอิสริยาภรณ์ บำเหน็จราชการ - พุทธศักราช 2525 เหรียญราชการชายแดน (ช.ด.)
- พุทธศักราช 2532 เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)
ราชการพิเศษ - พุทธศักราช 2512 ปราบปรามคอมมิวนิสต์
- พุทธศักราช 2513 ราชการสงครามประเทศเวียดนาม
- พุทธศักราช 2522 ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนป้องกันประเทศ
- พุทธศักราช 2523 ปฏิบัติราชการพิเศษหน่วยผสมพตท.12
- พุทธศักราช 2525-2526 ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนป้องกันประเทศ
- พุทธศักราช 2527-2530 ปฏิบัติราชการพิเศษ โครงการ 506 (นปพ.838)
- พุทธศักราช 2531-2533 ปฏิบัติราชการพิเศษ โครงการ 824
- พุทธศักราช 2534-2537 ปฏิบัติราชการพิเศษ โครงการ 506
- พุทธศักราช 2538-2545 ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนป้องกันประเทศ
- พุทธศักราช 2513 ราชการสงครามประเทศเวียดนาม
- พุทธศักราช 2522 ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนป้องกันประเทศ
- พุทธศักราช 2523 ปฏิบัติราชการพิเศษหน่วยผสมพตท.12
- พุทธศักราช 2525-2526 ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนป้องกันประเทศ
- พุทธศักราช 2527-2530 ปฏิบัติราชการพิเศษ โครงการ 506 (นปพ.838)
- พุทธศักราช 2531-2533 ปฏิบัติราชการพิเศษ โครงการ 824
- พุทธศักราช 2534-2537 ปฏิบัติราชการพิเศษ โครงการ 506
- พุทธศักราช 2538-2545 ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนป้องกันประเทศ
นายอานันท์ ปันยารชุน
นายอานันท์ ปันยารชุน
นายอานันท์ ปันยารชุน เกิดเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๗๕ ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน ๑๒ คนของ มหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) และ คุณหญิงปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร) และได้สมรสกับ ม.ร.ว. สดศรี จักรพันธุ์ มีบุตรี ๒ คนคือ นางนันดา ไกรฤกษ์ และนางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ มีหลาน ๓ คนคือ น.ส. ทิพนันท์ จากนางนันดา ซึ่งสมรสกับ นายไกรทิพย์ ไกรฤกษ์ และ ด.ญ. ศิริญดา และ ด.ช. ธนาวิน จากนางดารณี ซึ่งสมรสกับ ดร. ชัชวิน เจริญรัชต์ภาคย์
การศึกษา
นายอานันท์เริ่มเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนประถมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนถนนสุรศักดิ์ที่เชื่อมต่อระหว่างถนนสีลมและถนนสาทร ในปี ๒๔๘๖ เข้ารับการศึกษาในระดับมัธยม (ประถมปีที่ ๕ ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ จนจบมัธยมปีที่ ๓ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองย้ายเข้ารับการศึกษาในชั้นมัธยม ๔ (มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนนันทศึกษาเป็นการชั่วคราว แล้วจึงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จนจบมัธยม ๗ (มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ในปัจจุบัน) ต่อจากนั้นได้เดินทางไปศึกษา ณ โรงเรียนดัลลิช (Dulwich College) ประเทศอังกฤษในปี ๒๔๙๑ ก่อนเข้ารับการศึกษา ณ ตรินิตี้คอลเลจ (Trinity College) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge) ในปี ๒๔๙๕ จนสำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายในระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยม ในปี ๒๔๙๘
การทำงาน
พ.ศ. 2498 เข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. 2502-2507 เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. 2503 ได้รับตำแหน่งเลขานุการเอกคณะทูตถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค
พ.ศ. 2510-2515 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ และเอกอัครราชทูตประจำประเทศแคนาดา
พ.ศ. 2515-2518 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา และผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค
พ.ศ. 2519 รับตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศและตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2520-2521 และตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2522 เข้าร่วมงานกับกลุ่มบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด
พ.ศ. 2523 รับตำแหน่งอุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมไทย
พ.ศ. 2525-2526 เป็นประธาน ASEAN TASK FORCE
พ.ศ. 2525-2527 ดำรงตำแหน่งสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน
พ.ศ. 2530-2533 รับเลือกตั้งเป็นรองประธานสภาฯ
พ.ศ. 2533 ได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการ THE WORLD MANAGEMENT COUNCIL (CLOS)
พ.ศ. 2534 รับเป็นกรรมการ THE BUSINESS COUNCIL FOR SUSTAINABLE DEVELOPMENT (BCSD)
พ.ศ. 2535 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2535 พ.ศ. 2515-2518 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา และผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค
พ.ศ. 2519 รับตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศและตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2520-2521 และตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2522 เข้าร่วมงานกับกลุ่มบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด
พ.ศ. 2523 รับตำแหน่งอุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมไทย
พ.ศ. 2525-2526 เป็นประธาน ASEAN TASK FORCE
พ.ศ. 2525-2527 ดำรงตำแหน่งสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน
พ.ศ. 2530-2533 รับเลือกตั้งเป็นรองประธานสภาฯ
พ.ศ. 2533 ได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการ THE WORLD MANAGEMENT COUNCIL (CLOS)
พ.ศ. 2534 รับเป็นกรรมการ THE BUSINESS COUNCIL FOR SUSTAINABLE DEVELOPMENT (BCSD)
พ.ศ. 2535 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2535
บทบาทการเมือง
- 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 18
- 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง
ผลงานที่สำคัญ
- การปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
- การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบข้าราชการ
- การริเริ่มที่จะจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน
- การส่งเสริมตลาดทุน
- การส่งเสริมการแข่งขันโดยเสรีในอุตสาหกรรม นโยบายการค้าเสรี ภายใต้การแข่งขันอย่างเป็นธรรม
- การนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทนภาษีการค้า
- การปรับปรุงการสรรพสามิตให้สอดคล้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
- การเป็นเจ้าภาพการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุน การเงินระหว่างประเทศครั้งที่ 46 ประจำปี 2534
- การให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนารัฐวิสาหกิจมากขึ้น
- การพัฒนาชนบท การเกษตร และการปฏิรูปที่ดิน
- การเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรศัพท์และโทรคมนาคม
- การปรับปรุงท่าอากาศยานกรุงเทพแห่งที่ 2
- การพัฒนาระบบอุดมศึกษาให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัว
- การดำเนินงานการขยายโอกาสทางการศึกษา
- การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
- การสำรวจผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- การแยกรัฐวิสาหกิจออกจากกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
- การจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยริเริ่มจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อสอดส่องดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม
ด้วยผลงานด้านต่างๆ ที่นายอานันท์ได้ทำมา ทำให้นายอานันท์ได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการรัฐกิจในปี ๒๕๔๐ ได้รับการประกาศเกียรติคุณต่างๆ รวมทั้งปริญญากิตติมศักดิ์ จากสถาบันศึกษาหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม ๒๐ สถาบัน นายอานันท์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญรัตนาภรณ์ (ชั้น ๓) มหาวชิรมงกุฎ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ทั้งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากประเทศอิตาลี เกาหลี อินโดนีเซีย เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น และในกรณีของอังกฤษนั้น ได้รับ Honorary Knight Commander of the Civil Division of the Most Exellent Order of the British Empire (KBE) ซึ่งถ้าเป็นคนสัญชาติสหราชอาณาจักร ก็จะมีตำแหน่งเป็น Sir
ปัจจุบันนายอานันท์ดำรงตำแหน่งที่สำคัญขององค์กรต่าง ๆ ของประเทศและองค์กรนานาชาติหลายองค์กร เช่น ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง ด้านภัยคุกคาม ความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลง องค์การสหประชาชาติ เป็นกรรมการ สถาบันอู ถั่น เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ เอเซีย แปซิฟิค ลีดเดอชิพ ฟอรัม ออน เอชไอวี/เอดส์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ (เอพีแอลเอฟ)
การศึกษา
นายอานันท์เริ่มเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนประถมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนถนนสุรศักดิ์ที่เชื่อมต่อระหว่างถนนสีลมและถนนสาทร ในปี ๒๔๘๖ เข้ารับการศึกษาในระดับมัธยม (ประถมปีที่ ๕ ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ จนจบมัธยมปีที่ ๓ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองย้ายเข้ารับการศึกษาในชั้นมัธยม ๔ (มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนนันทศึกษาเป็นการชั่วคราว แล้วจึงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จนจบมัธยม ๗ (มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ในปัจจุบัน) ต่อจากนั้นได้เดินทางไปศึกษา ณ โรงเรียนดัลลิช (Dulwich College) ประเทศอังกฤษในปี ๒๔๙๑ ก่อนเข้ารับการศึกษา ณ ตรินิตี้คอลเลจ (Trinity College) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge) ในปี ๒๔๙๕ จนสำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายในระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยม ในปี ๒๔๙๘
การทำงาน
พ.ศ. 2498 เข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. 2502-2507 เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. 2503 ได้รับตำแหน่งเลขานุการเอกคณะทูตถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค
พ.ศ. 2510-2515 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ และเอกอัครราชทูตประจำประเทศแคนาดา
พ.ศ. 2515-2518 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา และผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค
พ.ศ. 2519 รับตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศและตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2520-2521 และตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2522 เข้าร่วมงานกับกลุ่มบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด
พ.ศ. 2523 รับตำแหน่งอุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมไทย
พ.ศ. 2525-2526 เป็นประธาน ASEAN TASK FORCE
พ.ศ. 2525-2527 ดำรงตำแหน่งสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน
พ.ศ. 2530-2533 รับเลือกตั้งเป็นรองประธานสภาฯ
พ.ศ. 2533 ได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการ THE WORLD MANAGEMENT COUNCIL (CLOS)
พ.ศ. 2534 รับเป็นกรรมการ THE BUSINESS COUNCIL FOR SUSTAINABLE DEVELOPMENT (BCSD)
พ.ศ. 2535 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2535 พ.ศ. 2515-2518 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา และผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค
พ.ศ. 2519 รับตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศและตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2520-2521 และตำแหน่งสุดท้ายทางราชการคือ เอกอัครราชทูตประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
พ.ศ. 2522 เข้าร่วมงานกับกลุ่มบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด
พ.ศ. 2523 รับตำแหน่งอุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมไทย
พ.ศ. 2525-2526 เป็นประธาน ASEAN TASK FORCE
พ.ศ. 2525-2527 ดำรงตำแหน่งสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน
พ.ศ. 2530-2533 รับเลือกตั้งเป็นรองประธานสภาฯ
พ.ศ. 2533 ได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการ THE WORLD MANAGEMENT COUNCIL (CLOS)
พ.ศ. 2534 รับเป็นกรรมการ THE BUSINESS COUNCIL FOR SUSTAINABLE DEVELOPMENT (BCSD)
พ.ศ. 2535 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2535
บทบาทการเมือง
- 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 18
- 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง
ผลงานที่สำคัญ
- การปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
- การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบข้าราชการ
- การริเริ่มที่จะจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน
- การส่งเสริมตลาดทุน
- การส่งเสริมการแข่งขันโดยเสรีในอุตสาหกรรม นโยบายการค้าเสรี ภายใต้การแข่งขันอย่างเป็นธรรม
- การนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทนภาษีการค้า
- การปรับปรุงการสรรพสามิตให้สอดคล้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
- การเป็นเจ้าภาพการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุน การเงินระหว่างประเทศครั้งที่ 46 ประจำปี 2534
- การให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนารัฐวิสาหกิจมากขึ้น
- การพัฒนาชนบท การเกษตร และการปฏิรูปที่ดิน
- การเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรศัพท์และโทรคมนาคม
- การปรับปรุงท่าอากาศยานกรุงเทพแห่งที่ 2
- การพัฒนาระบบอุดมศึกษาให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัว
- การดำเนินงานการขยายโอกาสทางการศึกษา
- การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
- การสำรวจผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- การแยกรัฐวิสาหกิจออกจากกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
- การจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยริเริ่มจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อสอดส่องดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม
ด้วยผลงานด้านต่างๆ ที่นายอานันท์ได้ทำมา ทำให้นายอานันท์ได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการรัฐกิจในปี ๒๕๔๐ ได้รับการประกาศเกียรติคุณต่างๆ รวมทั้งปริญญากิตติมศักดิ์ จากสถาบันศึกษาหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม ๒๐ สถาบัน นายอานันท์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญรัตนาภรณ์ (ชั้น ๓) มหาวชิรมงกุฎ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ทั้งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากประเทศอิตาลี เกาหลี อินโดนีเซีย เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น และในกรณีของอังกฤษนั้น ได้รับ Honorary Knight Commander of the Civil Division of the Most Exellent Order of the British Empire (KBE) ซึ่งถ้าเป็นคนสัญชาติสหราชอาณาจักร ก็จะมีตำแหน่งเป็น Sir
ปัจจุบันนายอานันท์ดำรงตำแหน่งที่สำคัญขององค์กรต่าง ๆ ของประเทศและองค์กรนานาชาติหลายองค์กร เช่น ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง ด้านภัยคุกคาม ความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลง องค์การสหประชาชาติ เป็นกรรมการ สถาบันอู ถั่น เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ เอเซีย แปซิฟิค ลีดเดอชิพ ฟอรัม ออน เอชไอวี/เอดส์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ (เอพีแอลเอฟ)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)